บทความ

กล้วยน้ำว้า

กล้วยน้ำว้าให้พลังงานมากที่สุด กล้วยน้ำว้าห่ามและสุกมีธาตุเหล็กในปริมาณสูง ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซีช่วยบำรุงกระดูก ฟัน และเหงือกให้แข็งแรง ช่วยให้ผิวพรรณดี มีเบต้าแคโรทีน ไนอาซีนและใยอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายคล่องขึ้น กินกล้วยน้ำว้าสุก จะช่วยระบายท้องและสามารถรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันในเด็กเล็กได้ ช่วยลดอาการเจ็บคอ เจ็บหน้าอกที่มีอาการไอแห้งร่วมด้วย โดยกินวันละ ๔-๖ ลูก แบ่งกินกี่ครั้ง ก็ได้ กินกล้วยก่อนแปรงฟันทุกวันจะทำให้ไม่มีกลิ่นปาก และผิวพรรณดี เห็นผลได้ใน ๑ สัปดาห์ กล้วยน้ำว้าดิบและห่ามมีสารแทนนิน เพคตินมีฤทธิ์ฝาดสมาน รักษา อาการท้องเสียที่ไม่รุนแรงได้ โดยกินครั้งละครึ่งผล หรือ ๑ ผล อาการท้องเสียจะทุเลาลง นอกจากนี้จากการศึกษาวิจัยยังพบว่า มีผลในการรักษาโรคกระเพาะได้อีกด้วย กล้วยดิบรักษาอาการท้อง เสียที่ไม่รุ่นแรง โดยใช้กล้วย น้ำว้าห่าม รับประทานครั้ง ละครื่งผล-หนึ่งผล หรือ ใช้กล้วยน้ำว้าดิบ ฝานเป็น แว่นตาก แดด ให้ แห้ง บด เป็นผง ชงน้ำดื่มครั้ง ละครึ่งผลถึงหนึ่ง ผล หรือบดเป็นผง ปั้นเป็น ยาลูกกลอนรับประทานครั้งละ 4 เม็ค วันละ 2 ครั้ง

ปุ่มถูกใจ บนหน้าเว็บ ด้วย XFBML

รูปภาพ
การนำปุ่มถูกใจ ของ Facebook มาปิดไว้บนหน้าเว็บของเรา ทำให้เว็บเป็นเว็บสังคม ที่ทำให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น และบอกต่อ เป็นก้าวหนึ่งในการทำให้ข้อมูลข่าวสารแพร่กระจายไปสู่คนอื่น ๆ ตัวอย่าง ปุ่ม ถูกใจ หรือดูตัวอย่าง ปุ่ม ถูกใจ ที่ใช้งานจริง ที่เว็บของ สถาบัน กศน.ภาคกลาง ปุ่มถุกใจ สามารถทำได้ 2 วิธี คือ ใช้ Iframe ใช้ XFMBL (Extended Facebook Markup Language) การใช้ Iframe เป็นวิธีที่ง่าย โดยไปที่ http://developers.facebook.com/docs/reference/plugins/like/ และกรอกข้อมูล URL ของเว็บ เลือกให้แสดงภาพของผู้คลิก กำหนดขนาด และอื่น ๆ เมื่อได้โค้ดแล้ว ให้นำมาวางในตำแหน่งที่ต้องการ การใช้ XFBML ทำอะไรได้มากกว่าการใช้ Iframe แต่ต้องเรียกใช้ JavaScript SDK และ ต้องกำหนดให้หน้าเว็บเป็น application ของ Facebook ซึ่งทำได้ไม่ยาก วิธีการสร้าง ปุ่มถูกใจ ด้วย XFBML มีดังนี้ กำหนดให้หน้าเว็บเป็น Application ของ Facebook ซึ่งจะทำให้หน้าเว็บสามารถใช้ JavaScript SDK ได้ และจะได้รับหมายเลข ID สำหรับระบุว่าเป็นเว็บของเราต่อไปก่อนอื่น ต้องเป็นสมาชิกของ Facebook และ Login เข้าสู่ระบบของ F

ตัวห้ำตัวเบียน

รูปภาพ
ในวิถีเกษตรธรรมชาติ เรามีผู้ช่วยคือ ตัวห้ำและตัวเบียน มาช่วยงาน ช่วยปรับสมดุลธรรมชาติ ช่วยปราบแมลงด้วยกันเอง ทำให้พืชผักที่เราปลูกอยู่ได้ตามธรรมชาติ ตัวห้ำตัวเบียน เป็นแมลงศัตรูธรรมชาติ ที่ช่วยสร้างความสมดุลของธรรมชาติ ตัวห้ำ คือแมลงที่กินแมลงชนิดเดียวกันเป็นอาหาร ส่วน ตัวเบียน คือ แมลงที่เกาะอาศัยอยู่ในหรือนอกร่างกายของแมลงตัวอื่นและเบียดเบียนหรือดูดกินแมลงที่มันอาศัยอยู่ ในทำนองเดียวกับพยาธิหรือกาฝากนั่นเอง ตัวห้ำ ตัวห้ำ กินแมลงชนิดเดียวกันเองเป็นอาหาร เรียกว่าเป็นนักล่า (Predator) แบ่งออกเป็น 2 พวกใหญ่ ๆ คือ 1. พวกที่มีความว่องไว กระตือรือร้นในการออกหาเหยื่อ พวกนี้มักจะมีอวัยวะที่ตัดแปลงไปเพื่อช่วย ในการจับเหยื่อ เช่น มีขาขื่นยาวสำหรับจับเหยื่อ เช่น ตั๊กแตนตำข้าว บ้างก็มีตาใหญ่เพื่อเพิ่มความสามารถในการมองเห็นเหยื่อได้ชัดเจน เช่น แมลงปอ เป็นต้น 2. พวกที่กินเหยื่ออยู่กับที่ เช่น ด้วงเต่าลายกินเพลี้ยอ่อนซึ่งไม่มีอวัยวะดัดแปลงพิเศษแต่อย่างใด แมลงตัวหํ้าที่มีปากแบบกัดกินจะกัดเหยื่อเป็นชิ้นๆ แล้วเคี้ยวกินเป็นอาหารเช่น ตั๊กแตนตำข้าว แมลงปอ เป็นต้น ส่วนตัวหํ้าที่มีปากแบบแ

โปรตีน ช่วยเสริมสร้างร่างกาย

รูปภาพ
โปรตีน เป็นสารอาหารที่พบมากในเนื้อสัตว์ ถั่ว ไข่ และนม โปรตีนจำเป็นสำหรับร่างกาย เพราะเป็นส่วนประกอบหลักของเซลล์ในร่างกายของเรา โปรตีนให้พลังงาน ประมาณ ร้อยละ 10-15 ของพลังงานที่เราได้จากการรับประทานอาหาร ร่างกายใช้โปรตีนที่เรารับประทานจากอาหารต่าง ๆ ในการสร้างเซลล์ของร่างกาย สร้างฮีโมโกลบิล (hemoglobin) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเม็ดเลือดแดง ที่นำพาออกซิเจนไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย นอกจากนี้ ยังใช้สร้างสร้างกล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) และยังช่วยในด้านภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถต้านทานโรคต่าง ๆ ได้ เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีโปรตีนเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะย่อยโปรตีนเป็นกรดอะมิโน (amino acids)กรดอะมิโนบางอย่าง ร่างกายนำไปสร้างโปรตีนขึ้นใหม่เพื่อบำรุงรักษาส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ กระดูก เลือด และอวัยะต่าง ๆ เป็นต้น ถ้าร่างกายขาดโปรตีน จะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโตตามปกติ กล้ามเนื้อลีบ ความต้านทานโรคลดลง หัวใจอ่อนแอ ระบบการหายใจอ่อนแด และถึงตายในที่สุด โปรตีนที่เราได้จากการรับประทานอาหารบางอย่าง เป็นโปรตีนสมบูรณ์ (complete protein) โดยเฉพาะได้จากเนื้อสัตว

ไขมัน แหล่งพลังงานของร่างกาย

รูปภาพ
ทุกคนต้องรับประทานอาหารที่มีไขมัน เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ถ้ารับประทานอาหารที่มีไขมันมากเกินไป จะทำให้อ้วนได้ ร้ายกว่านั้น ถ้ามีไขมันชนิดอิ่มตัว(saturated fat)มากเกินไป จะทำให้ระดับคอเรสเตอรอลสูง เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ เป็นโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง หรือแม้กระทั่งเป็นโรคมะเร็งบางอย่างได้ ไขมันนอกจากจะให้พลังงานแก่ร่างกายแล้ว ยังให้กรดไขมัน(fatty acids)ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง และนอกจากนี้ ยังช่วยดูดซึมสารอาหารบางอย่างได้อีกด้วย ไขมันมีหลายชนิด ไขมันบางอย่างให้คุณแต่บางอย่างเป็นไขมันตัวร้าย ทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ ดังนั้นจึงควรรู้จักไขมันชนิดต่าง ๆ และหลีกเลี่ยงไขมันที่จะก่อปัญหา และบริโภคไขมันที่ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ประเภทของไขมัน ไขมันที่ให้คุณ (The Good Fats) ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fat หรือ MUFAs)ช่วยลดคอเลสเตอรอลโดยภาพรวม ลด คอเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL cholesterol) และเพิ่ม คอเลสเตอรอลตัวดี (HDL cholesterol) ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ยังได้ชื่อว่า สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมีส่วนช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ

คาร์โบไฮเดรท

อาหารที่เรากินส่วนใหญ่มีคาร์โบไฮเดรทที่จำเป็นต่อร่างกาย ร่างกายจะย่อยคาร์โบไฮเดรทเป็นน้ำตาล ซึ่งเป็นแหล่งพลังงาน ให้เรามีแรงในการทำงาน การเคลื่อนไหวร่างกาย ถ้าขาดคาร์โบไฮเดรทอาจจะแสดงอาการ เป็นตะคริว (muscle cramps) อ่อนเพลีย สมองทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนความต้านทานต่อเชื้อโรค และความเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ ลดลง คาร์โบไฮเดรท ในอาหารที่เรารับประทาน สามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ชนิด คือ แบบง่าย (Simple carbohydrates) และซับซ้อน คาร์โบไฮเดรทแบบง่าย คาร์โบไฮเดรทแบบง่าย เป็นคาร์โบไฮเดรทที่ให้ความหวาน ได้มาจากน้ำตาลบริสุทธิ์ (refined sugars) เช่น น้ำตาลทรายขาว อาหารที่ใส่น้ำตาล จะมีคาร์โบไฮเดรทแบบง่าย เช่น ขนมหวาน นม และผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้ นอกจากจะให้ความหวานแล้ว ยังได้สารอาหารอื่น เช่น วิตามิน เกลือแร่ และใยอาหาร อีกด้วย ร่างกายสามารถดูดซึมคาร์โบไฮเดรทชนิดนี้เข้ากระแสเลือดได้โดยตรง ในรูปของน้ำตาลกลูโคส ซึ่งให้พลังงานแก่ร่างกาย น้ำตาลกลูโคสจะไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด ไปยังทุกส่วนของร่างกาย กลูโคสในกระแสเลือดถ้าไม่อยู่ในระดับปกติ จะทำให้เกิดโทษได้ เช่น เกิดโรคเบาหวาน คาร์โบไฮ

ถั่วเขียว ปรับสภาพดิน

รูปภาพ
ที่ดินหน้าบ้าน ประมาณ 10 ตารางวา ผมกันเอาไว้ปลูกผัก แต่ดินที่นำมาถมปรับพื้นที่เป็นดินเหนียว ไม่เหมาะกับการปลูกผัก เพราะดินเหนียวระบายน้ำไม่ดี แต่ข้อดีของดินเหนียวคือมีสารอาหารต่าง ๆ อยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ เพียงแต่ว่า พืชไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น จึงต้องมีการปรับปรุงดินให้ร่วนซุยขึ้นมาบ้าง ผมเริ่มจากการใช้จอบฟื้นดิน และย่อยให้ดินเป็นก้อนเล็ก ๆ จากนั้นไปซื้อขี้วัวมา 20 กระสอบปุ๋ย ให้เขามาส่ง และผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน และนำเมล็ดถั่วเขียวที่ซื้อมาจากตลาด แช่น้ำทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง พอถั่วเขียวเริ่มเต่ง จึงนำไปหว่าน ช่วงเวลาที่หว่าน เป็นตอนเย็น เพราะอาศัยอุณหภูมิตอนกลางคืน ช่วยให้ถั่วเขียวปรับสภาพตัวเอง ถ้าหว่านตอนเช้า ตอนกลางวันอากาศร้อนเกินไป อาจจะทำให้เมล็ดถั่วเขียวชะงักการเจริญเติบโตได้ หลังจากหว่าน ประมาณ 1-2 วันเท่านั้น ถั่วเขียวขึ้นเห็นทันตา ประมาณ 2-3 อาทิตย์ ถั่วเขียวเร่ิ่มมีดอก จึงใช้จอบฟื้นดินในบริเวณที่ปลูกถั่วเขียวอีกครั้ง เป็นการใช้ต้นถั่วเขียวเป็นปุ๋ยพืชสดผสมกับดิน และ หว่านถั่วเขียวอีกครั้ง เป็นรอบที่สอง พอถั่วเขียวขึ้นพอประมาณ จะฟื้นดินอีกครั้ง และผสมปุ