บทความ

ขมิ้น พืชมหัศจรรย์

รูปภาพ
ขมิ้น ขมิ้นชัน ขมิ้นม่วงหรือขมิ้นขาว  ( Turmeric) และพืชตระกูลขิง   มีสารชนิดหนึ่งชื่อว่า Curcumin เป็นสารที่มีประโยชน์มาก สาร Curcumin เป็นตัวที่ทำให้ขมิ้นเป็นสีเหลือง ขมิ้นจัดว่าเป็นเครื่องเทศที่ให้ประโยชน์ มีคุณค่าทางอาหารมากที่สุดในโลก Curcumin เป็นสารมหัศจรรย์ ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันไม่ให้เป็นโรคความจำเสื่อม (Alzheimer's disease)ในผู้สูงอายุ ช่วยป้องกันโรคมะเร็งหลายชนิด และลดคอเรสเตอรอล คนอินเดียใช้ รักษาโรคตับ โรครูมาติก แผลเบาหวาน ช่วยย่อยอาหาร คัดจมูก และแก้ไอ และกำลังมีการศึกษาว่าสามารถนำไปใช้ในการรักษาโรคเอดส์ อีกด้วย Curcumin เป็นสารต้านการอักเสพ (anti-oxidant)ต้านอนุมูลอิสระ(free radicals) ช่วยลดอาการปวดต่าง ๆ เช่น ปวดฟัน ปวดท้องเมื่อมีประจำเดือน ผู้ที่กินขมิ้นเป็นประจำ ช่วยป้องกันโรคมะเร็งทรวงอก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งต่อมลูกหมาก Curcumin ช่วยการย่อยอาหาร คนไทยรู้กันทั่วไปว่า กินน้ำขิงช่วยแก้ปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อ German Commission E ของประเทศเยอรมัน รับรองว่า Curcumin สามารถช่วยแก้ปัญหาการย่อยอาหารได้ Curcumin ช่วยป้องกันโรคหัวใจวาย

ผักหวานบ้าน หรือมะยมป่า

รูปภาพ
สมัยก่อนเมื่อยังเป็นเด็ก เข้าไปเที่ยวในป่าหลังบ้าน เห็นต้นมะยมป่า ไม่เคยนึกเลยว่า เป็นผักที่กินได้ พอมาเจอผัดผักหวานกับน้ำมันหอย รู้สึกคุ้นเคยว่า ผักชนิดนี้เคยเห็นที่ไหน เข้าอินเทอร์เน็ตลองค้นดู จึงรู้ว่า ผักหวานบ้าน กับมะยมป่า ที่เคยเห็นสม้ยเป็นเด็ก เป็นพืชชนิดเดียวกัน กินผักหวานได้ประโยชน์ ผักหวานบ้าน ทำอาหารได้หลายอย่าง ง่ายที่สุดคือนำมาลวกจิ้มน้ำพริก หรือนำไปแกง เช่น แกงเลียง หรือแกงจืด นอกจากนั้นยังนำไปผัด เช่น ผัดน้ำมันหอย เป็นต้น น่าสังเกตว่า ชนิดอาหารที่ปรุงจากผักหวานบ้าน ไม่ว่าจะเป็นผักจิ้ม แกงเลียง แกงจืด หรือผัดน้ำมันหอย ล้วนแล้วแต่มีเครื่องปรุงแต่งน้อย เพราะต้องการให้ได้รสชาติของผักหวานบ้านมากเป็นพิเศษ เพราะถือว่ามีรสชาติดีกว่าผักทั่วไป ใบและยอดอ่อนของผักหวาน มีวิตามินเอมากเป็นพิเศษ คือใน ๑๐๐ กรัม มีวิตามินเออยู่สูงถึง ๑๖,๕๙๐ หน่วยสากล (IU) และมีวิตามินเคอยู่ด้วย วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา วิตามินเคมีสรรพคุณในการช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อมีบาดแผลเลือดออก ช่วยให้ตับทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำงานร่วมกับวิตามินดีในการควบคุมระดับแคลเซียมในร่างกาย ช่วยเสริมสร้างเซลล์กระดูกและเนื

การเพิ่มระดับหัวข้อในตาราง ของ MS Word

รูปภาพ
ในโปรแกรมพิมพ์เอกสาร MS Word มีการใช้เลขลำดับหัวข้อย่อย รายการหลายระดับ เพื่อให้สามารถทำงานได้สะดวก เช่น 1. 1.1 1.2 2. 2.1 2.2  เป็นต้น ทำให้ไม่ต้องกังวลกับเลขลำดับที่ เพราะ Word จะจัดให้โดยอัตโนมัติ สามารถสลับข้อละตัวเลขลำดับที่จะปรับให้โดยอัตโนมัติ ในกรณีที่ใช้เลขลำดับที่ ที่เป็นรายการหลายระดับ ในข้อความทั่วไป ที่ไม่ได้อยู่ในตาราง สามารถใช้ Shortcut เพื่อกำหนดระดับ เช่น กดปุ่ม Enter เพื่อขึ้นลำดับใหม่ จาก ข้อ 1 เป็น ข้อ 2 จาก ข้อ 2 เป็นข้อ 3 เป็นต้น กดปุ่ม Tab เพื่อลดระดับ จาก 1 เป็น 1.1 จาก 1.1 เป็น 1.1.1 เป็นต้น กดปุ่ม Enter เพื่อถอยหลังกลับ (เพิ่มระดับ) จาก 1.1.1 เป็น 1.1 หรือ จาก 1.1 เป็น 1 เป็นต้น แต่ในกรณีที่ต้องการใช้เลขลำดับหัวข้อ รายการหลายระดับ ในตาราง ไม่สามารถใช้ Shortcut เพื่อเพิ่ม หรือลดระดับตัวเลขได้ ต้องใช้คำสั่งในเมนูแทน สมมุติว่า ต้องการพิมพ์ข้อความ ในรูปแบบข้างล่างนี้ จากตัวอย่างข้างบน จะเห็นมีรายการย่อย สำหรับข้อความธรรมดาที่ไม่อยู่ในตาราง ถ้าต้องการได้หัวข้อ 1.1 ซึ่งเป็นข้อย่อยของหัวข้อ 1 เมื่อกด Enter ขึ้นบรรทัดใหม่แล้ว ให้กด ปุ่ม Tab ก็จะได้หัวข้อย่อยล

การเปลึียนชนิดตัวอักษร (font) ในลำดับหัวข้อ ของ MS Word

รูปภาพ
ใช้โปรแกรม MS Word พิมพ์เอกสาร ถ้าใช้ลำดับหัวข้อ ที่โปรแกรมกำหนด จะทำให้ทำงานได้รวดเร็ว และถ้ามีการแก้ไข เรียงลำดับใหม่ โปรแกรมก็จะเรียงใหม่ให้ด้วย ไม่ต้องมาเปลี่ยนลำดับใหม่ด้วยตัวเอง แต่คนหลายคนยังไม่ใช้ เพราะควบคุมลำบาก เช่น กำหนด font ในย่อหน้าเป็น TH SarabunPSK แต่เมื่อใช้หัวข้อ โดยเลือกใช้ตัวเลขลำดับที่ของโปรแกรม  ตัวเลข และตัวหนังสือ ที่ออกมา เป็นคนละชุดกับ ย่อหน้าที่พิมพ์  ดังตัวอย่างข้างล่าง วิธีการแก้ไข ชนิดของตัวอักษรที่ใช้หลังหัวข้อแต่ละหัวข้อ มีกำหนดอยู่ในรูปแบบ รายการย่อหน้า หลังจากกำหนดลักษณะของหัวข้อแล้ว ให้ไปเลือกรูปบบในรายการย่อหน้า จะได้รูปแบบตัวอักษรตามต้องการ วิธีการมีดังนี้ ไปที่แถบ หน้าแรก กลุ่มลักษณะ จะเห็นลักษณะต่าง ๆ ให้เลื่อน scroll bar เพื่อหาลักษณะ รายการย่อหน้า ดังภาพ คลิกขวาที่ รายการย่อหน้า และเลือก ปรับเปลี่ยน จะเปิดหน้าจอ แบบอักษร ให้เปลี่ยนตัวอักษร ในช่องการจัดรูปแบบ และ คลิกปุ่ม รูปแบบด้านล่าง เพื่อกำหนดลักษณะอื่น ๆ ตามต้องการ กดปุ่ม ตกลง ตัวอักษรหลังหัวข้อจะเปลี่ยนไปตามที่กำหนด

บริโภคน้ำตาล ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา

รูปภาพ
ผ่านหน้าอำเภอบางแพ เห็นมีป้ายโฆษณารูปผู้ว่า ฯ จังหวัดราชบุรี บอกว่า ชาวราชบุรีหวานพอดี ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา (24 กรัม) ต้องมีอะไรสำคัญเกี่ยวกับน้ำตาลแน่ ๆ จึงต้องมารณรงค์เรื่องน้ำตาลกัน ดร.ซูซาน มิเชล ให้ข้อมูลว่า น้ำตาลทำให้อ้วน การกินน้ำตาลในปริมาณมาก จะเพิ่มความเสี่ยงทำให้ความดันโลหิตสูง ระดับไตรกรีเซอร์ไรด์สูง และเพิ่มระดับการอักเสบ (inflammation)ในร่างกาย ซึ่งจะไปมีผลทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ น้ำตาลที่กำลังพูดถึงนี้ หมายถึงน้ำตาลที่เราบริโภคโดยตรง หรือที่เรียกว่า "added sugar" เช่น น้ำตาลที่ใส่ในอาหารระหว่างกระบวนการผลิต น้ำผึง หรือน้ำตาลทรายเป็นช้อน ๆ ที่เราตักเติมลงไปในก๋วยเตี๋ยว นั่นแหละครับ ไม่รวมน้ำตามในธรรมชาติ เช่น ในผลไม้ นะครับ การบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่มาก ทำให้ได้พลังงานแคลอลี่ว่าง (empty calories)ซึ่งไม่ให้คุณประโยชน์แก่ร่างกายแต่อย่างไร เพียงเอาไปสะสมไว้ที่พุงทำให้อ้วนตุ๊ต๊ะเท่านั้น บริโภคน้ำตาลเท่าไร จึงจะจัดว่าอยู่ในปริมาณที่มาก ดร.มิเชลบอกว่า ผู้หญิงไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินวันละ 100 แคลอลี่ หรือ 25 กรัม หรือคิดเป็นช้อนชาได้ประมาณ 6 ช้อนชา ส่วนผู้ชายไ

การใส่ ชื่อและที่อยู่ไฟล์ ที่ท้ายกระดาษ ของ Word 2010

รูปภาพ
การใส่ข้อมูลเกี่ยวกับชื่อไฟล์และทีที่อยู่ไฟล์ ลงใน ท้ายกระดาษ ของ Word 2010 มีดังนี้ เปิด Word พิมพ์ข้อมูล แล้วไปที่ ริบบิ้น ดูที่แถบ แทรก  กลุ่ม หัวกระดาษท้ายกระดาษ และคลิก ท้ายกระดาษ ที่ด้านล่าง เลือก แก้ไขท้ายกระดาษ ที่แถบออกแบบ ของเครื่องมือหัวกระดาษท้ายกระดาษ กลุ้่มแทรก คลิกส่วนประกอบด่วน เลือกเขตข้อมูล ที่หน้าจอเขตข้อมูล ให้เลือก FileName  ถึงตรงนี้ เคล็ดลับ คือให้คลิกเลือก เพิ่มเส้นทางไปยังชื่อแฟ้ม จะได้ชื่อไฟล์ พร้อมทั้งที่อยู่ หรือ Path ของไฟล์ ตามต้องการ

กล้ามเนื้อหัวใจตาย

กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial Infarction) หมายถึง ภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือดไปเลี้ยง ส่วนมากเกิดจากการตีบตันของหลอดเลือดหัวใจ สาเหตุ หลอดเลือดแดงตีบตันแข็ง พบบ่อยในผู้สูงอายุ มีประวัติในครอบครัวเป็น พบได้สูงกว่าคนปกติ 2-7 เท่า ระดับไขมันในเลือดสูง มีภาวะความดันโลหิตสูง รับประทานยาคุมกำเนิด การได้รับแอลกอฮอล์ คาเฟอีน ระดับยูริคในเลือดสูง ไม่ออกกำลังกาย เป็นคนก้าวร้าว ทะเยอทะยาน รีบเร่ง เครียด ภาวะโลหิตจาง ขาดออกซิเจน ความดันโลหิตต่ำเป็นเวลานาน การเสียเลือดจำนวนมาก จนทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ ช็อค โรคที่มีผลต่อหลอดเลือดแดง เช่น ซิฟิลิส หลอดเลือดแดงอุดตัน หลอดเลือดแดงโป่งพอง อาการ เจ็บหน้าอก อาจเกิดตรงกลางหน้าอก ใต้กระดูกหน้าอก มักเจ็บเป็นบริเวณกว้าง บอกจุดไม่ชัดเจน เจ็บเหมือนมีของหนักมาทับ อาการเจ็บมักจะค่อย ๆ มากขึ้นตามเวลา อาจร้าวไปเจ็บที่หัวไหล่ แขน หรือมือทั้งสองข้าง โดยเฉพาะยิ่งสะบักซ้าย และอาจร้าวไปที่คอ ฟันกราม หรือขากรรไกร บางรายอาจแน่นลิ้นปี่ คล้ายกับคนที่อาหารไม่ย่อย ช็อค หรือหมดสติ จะมีเหงื่อออกมาก ตัวเย็น ซีด เพลีย เป็นลม ความดันเลือดต่ำลงอย่างรว